donn

donn

15 พฤษภาคม 2568

...

OEM กับ ODM ต่างกันยังไง? เลือกแบบไหนให้เหมาะกับแบรนด์

OEM กับ ODM ต่างกันยังไง? เลือกแบบไหนให้เหมาะกับแบรนด์

การเริ่มต้นธุรกิจอาหารเสริมในยุคปัจจุบันกลายเป็นโอกาสทองที่ใคร ๆ ก็จับตามอง ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการมือใหม่ อินฟลูเอนเซอร์ เจ้าของคลินิก หรือกลุ่มผู้ค้าปลีกสินค้าเพื่อสุขภาพ แต่คำถามสำคัญที่มักเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นคือ:

หลายคนอาจเคยได้ยินคำนี้มาบ้าง แต่ยังไม่เข้าใจชัดเจนว่าทั้งสองระบบการผลิตแตกต่างกันอย่างไร และแบบใดเหมาะกับรูปแบบธุรกิจของคุณ บทความนี้จะอธิบาย ข้อแตกต่างอย่างละเอียด พร้อมยกตัวอย่าง ข้อดี-ข้อเสีย และแนวทางการตัดสินใจที่ช่วยให้คุณเริ่มต้นแบรนด์ได้อย่างมั่นใจ


✅ OEM และ ODM คืออะไร?

🔬 OEM (Original Equipment Manufacturer)

OEM คือ การผลิตตามสูตรของลูกค้า หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า “ลูกค้าคิดสูตร – โรงงานผลิตให้” โดยเจ้าของแบรนด์เป็นผู้กำหนดรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ เช่น ส่วนผสม, สัดส่วน, รูปแบบ (แคปซูล ผง เม็ดเยลลี่ ฯลฯ) และบรรจุภัณฑ์ ส่วนโรงงานมีหน้าที่ผลิตตามแบบที่ลูกค้าสั่ง

📝 ODM (Original Design Manufacturer)

ODM คือ การผลิตที่โรงงานมีสูตรสำเร็จอยู่แล้ว ลูกค้าเลือกสูตรที่ต้องการจากตัวเลือกที่โรงงานเสนอ แล้วสามารถปรับแต่งบรรจุภัณฑ์ หรือใส่แบรนด์ของตัวเองเข้าไปได้ โดยไม่ต้องเริ่มคิดสูตรใหม่ตั้งแต่ต้น


✅ ตารางเปรียบเทียบ OEM vs ODM

รายละเอียดOEMODM
ผู้คิดสูตรลูกค้าโรงงาน
ความยืดหยุ่นของสูตรสูงปานกลาง-ต่ำ
ระยะเวลาเริ่มต้นผลิตนานกว่าเร็วกว่า
ความเฉพาะตัวของสินค้าสูงปานกลาง
งบประมาณเริ่มต้นสูงกว่าต่ำกว่า
เหมาะกับใครแบรนด์ที่มีทีม R&D หรือมีไอเดียเฉพาะมือใหม่ที่ต้องการเริ่มขายเร็ว

🔬 ข้อดี-ข้อเสียของ OEM 🔬

✅ ข้อดีของ OEM:

  • ได้สูตรเฉพาะที่ไม่มีใครเหมือน (Unique Formula)
  • ปรับสัดส่วน/สารสำคัญได้เต็มที่ตามกลุ่มเป้าหมาย
  • เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการต่อยอดสู่การส่งออก หรือพัฒนา long-term brand
  • มีสิทธิ์จดสิทธิบัตรสูตรได้ (ในบางกรณี)

❌ ข้อเสียของ OEM:

  • ใช้เวลานานกว่าจะพร้อมขาย (เพราะต้องคิดสูตร, ทดลอง, ขึ้นทะเบียน อย.)
  • ต้นทุน R&D และการผลิตเริ่มต้นสูงกว่า
  • ต้องมีความรู้เบื้องต้นด้านส่วนผสมหรือมีที่ปรึกษา

📝 ข้อดี-ข้อเสียของ ODM 📝

✅ ข้อดีของ ODM:

  • เริ่มต้นธุรกิจได้เร็ว (มีสูตรสำเร็จพร้อมผลิต)
  • ต้นทุนเริ่มต้นต่ำกว่า (บางกรณีไม่ต้องคิดสูตร)
  • เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่ยังไม่มีความรู้ลึกด้านอาหารเสริม
  • สูตรที่ผ่านการทดสอบมาแล้ว มีข้อมูลทางการตลาดรองรับ

❌ ข้อเสียของ ODM:

  • ความแตกต่างจากแบรนด์อื่นต่ำ (สูตรเดียวกันอาจมีหลายแบรนด์ใช้)
  • จำกัดการปรับสูตรหรือสารสำคัญบางตัว
  • บางโรงงานมีสูตรให้เลือกน้อยหากไม่ได้เน้น R&D

✅ เลือกแบบไหนดี? คำถามที่ควรถามตัวเองก่อนตัดสินใจ

  1. คุณมีสูตรในใจแล้วหรือยัง?
    • ถ้ามี: OEM จะเหมาะกว่า
    • ถ้ายังไม่มี: ODM คือทางเลือกเริ่มต้นที่ปลอดภัย
  2. คุณมีงบสำหรับ R&D หรือไม่?
    • หากมีงบ: OEM ช่วยให้สร้างความต่างระยะยาว
    • หากงบจำกัด: ODM ลดความเสี่ยงในช่วงเริ่มต้น
  3. คุณต้องการขายสินค้าเร็วแค่ไหน?
    • ถ้าต้องการเข้าสู่ตลาดใน 1-2 เดือน: ODM ดีกว่า
    • ถ้าพร้อมรอเพื่อความพิเศษ: OEM คุ้มค่ากว่าในระยะยาว
  4. แบรนด์ของคุณจะเน้นตลาดทั่วไป หรือเฉพาะกลุ่ม?
    • OEM เหมาะกับการสร้างสินค้าเฉพาะทาง เช่น กลุ่มผู้แพ้ง่าย, กลุ่มผู้สูงอายุ, นักกีฬา ฯลฯ
    • ODM เหมาะกับสินค้าแมส เช่น คอลลาเจน, ดีท็อกซ์, วิตามินรวม

✅ คำแนะนำในการเลือกโรงงาน OEM/ODM ที่น่าเชื่อถือ

  1. ตรวจสอบว่ามี มาตรฐาน GMP, HACCP, ISO หรือไม่
  2. โรงงานมีทีม R&D และนักวิทยาศาสตร์ที่ปรึกษาหรือไม่?
  3. มีสูตร ODM ให้เลือกหลากหลายหรือไม่?
  4. สามารถปรับสูตร ODM ได้บางส่วนหรือไม่?
  5. มีตัวอย่างผลงานลูกค้าจริงที่เคยผลิตหรือไม่?
  6. โรงงานให้บริการ One-Stop Service หรือไม่? เช่น จด อย., ออกแบบฉลาก, ทำบรรจุภัณฑ์
  7. มีทีมดูแลหลังการผลิต เช่น การตรวจคุณภาพ/ล็อตใหม่ การให้คำปรึกษาด้านการตลาดหรือไม่?

✅ สรุป: OEM และ ODM ต่างกันอย่างไร ควรเลือกแบบไหนให้คุ้มค่า?

การเลือก OEM หรือ ODM ไม่ใช่คำตอบที่ตายตัวว่าแบบไหนดีกว่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับ “เป้าหมายของแบรนด์” งบประมาณ และแผนธุรกิจของคุณ

  • หากคุณต้องการสินค้าเฉพาะ แตกต่าง มีจุดขายชัดเจน และพร้อมลงทุน – OEM คือคำตอบ
  • หากคุณต้องการเริ่มต้นเร็ว ต้นทุนต่ำ และต้องการทดสอบตลาด – ODM คือทางลัดที่ปลอดภัย

สุดท้าย ไม่ว่าคุณจะเลือกแบบไหน สิ่งสำคัญคือ การเลือกโรงงานที่ได้มาตรฐาน มีทีมที่พร้อมให้คำปรึกษา และมีความจริงใจในการพัฒนาธุรกิจร่วมกัน เพราะการสร้างแบรนด์อาหารเสริมที่ยั่งยืนนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่สูตร แต่อยู่ที่ “พาร์ตเนอร์” ที่คุณเลือกตั้งแต่วันแรก


หากคุณสนใจผลิตอาหารเสริมกับโรงงาน OEM/ODM มาตรฐาน GMP พร้อม R&D และบริการครบวงจร
iBio พร้อมช่วยคุณเริ่มต้นอย่างมั่นใจ ตั้งแต่พัฒนาสูตรจนถึงการขึ้นชั้นวางสินค้า ปรึกษากับเราได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เราพร้อมดูแลคุณในทุกขั้นตอนของการผลิตและสร้างแบรนด์ โทรเลย 027138989

บทความที่แนะนำ

  • สุขภาพและความงาม

    ผิวแห้ง ผมร่วงง่าย อ่อนแรง อาจไม่ใช่เรื่องอายุ แต่เพราะโปรตีนไม่พอ

    โพสต์เมื่อ 20 พฤษภาคม 2568

    อ่านเพิ่มเติม
  • สุขภาพและความงาม

    คอลลาเจนแบบไหนดีที่สุด? เปรียบเทียบ 3 แบบยอดฮิตในตลาด

    โพสต์เมื่อ 16 พฤษภาคม 2568

    อ่านเพิ่มเติม
  • สุขภาพและความงาม

    อาหารเสริมสำหรับผู้ชาย – โอกาสใหม่ในตลาดสุขภาพปีนี้

    โพสต์เมื่อ 14 พฤษภาคม 2568

    อ่านเพิ่มเติม